Skip to main content

ประเพณีตั้งฉายารัฐบาลของผู้สื่อข่าวทำเนียบดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในระยะหลัง คือจาก Mocking ล้อกันเล่นแสบๆ คันๆ กลายเป็นฉวยโอกาสประณามรัฐบาลส่งท้ายปี โดยที่อารมณ์ขันลดลง อารมณ์ดุดันขึ้นสูง

และอาจเป็นเพราะสื่อมีฝักฝ่าย จึงทำให้ฉายาออกมาไม่ get ไม่โดนใจคน เช่นที่โพลล์ไม่เห็นด้วย “ปูกรรเชียง”

วาทะแห่งปี ซึ่งควรจะเลือกคำพูดที่เป็นข่าวฮือฮา กลับไปเลือกคำพูดนายกฯ ในสภา ซึ่งไม่ค่อยเป็นประเด็น

นี่ไม่ใช่พูดเพราะผมเชียร์รัฐบาล แต่จะบอกว่าเลือก White Lie หรือ “ขี้ข้าทักษิณ” เสียยังโดนกว่า เหมือนนักข่าวอาชญากรรมเลือก “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ใครๆ ก็ไม่เถียง

ฉายารัฐบาล “พี่คนแรก” มีส่วนถูก ที่ว่ามีเงาพี่ชาย พี่สาว ปัญหาของพี่ พาดผ่านอยู่ตลอด แต่อย่าลืมว่าความขัดแย้งสำคัญในปี 2555 อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำอธิบายที่ไม่ชัดเจนทำให้เหมารวมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปด้วย ว่าแก้เพื่อทักษิณ ทั้งที่นักข่าวทำเนียบควรตระหนักว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย มีผู้คนมากมายต้องการให้แก้ ถ้าอธิบายให้ดีต้องบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียกระบวนไปเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ดันเข้ามาเพื่อ “พี่คนแรก” ต่างหาก

ฉายาที่ผู้สื่อข่าวรัฐสภาตั้งยังนับว่า “โดน” กว่าและดู “เป็นกลาง” กว่า เช่นที่ยกให้ 3 ส.ส.ทั้งเพื่อไทย ปชป.เป็นดาวดับ

อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอตั้งฉายาให้สื่อบ้าง โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก ซึ่งเคยแต่ตั้งฉายาให้ชาวบ้าน

อันที่จริงไม่อยากใช้คำว่า “พิราบ” เดี๋ยวความหมายจะแปดเปื้อน เพราะ “พิราบ” หมายถึงผู้รักเสรีภาพ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนรัฐประหาร แต่ในเมื่อสื่อยกตนเป็นพิราบ เป็นความหมายที่เข้าใจกันทั่วไป ก็ให้ยืมใช้ชั่วคราว ถ้าจะเปื้อน ก็เปื้อนเพราะคนยกตน

“พิราบกระเด้าลม” ฟังแล้วอาจหยาบไปหน่อย แต่ก็เหมาะกับพฤติกรรมสื่อกระแสหลักในรอบปี 55 ที่ทั้งปลุกความเกลียดชัง ล่วงล้ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ล่วงล้ำก้ำเกินทางเพศ ตั้งแต่ผู้จัดการแต่งภาพ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็น “วรเจี๊ยก” โดยองค์กรสถาบันสื่อเมินเฉย ไม่ตำหนิติติง หรือการใส่สีตีข่าวแบบสองแง่สองง่ามตามฝ่ายค้าน กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ซึ่งสนุกปากกันเกือบทุกฉบับ โดยองค์กรผู้หญิงไม่ยักปกป้องศักดิ์ศรีสตรี

มาจนกระทั่งการ์ตูนนิสต์ฝรั่งเขียนการ์ตูนเหยียดเพศยิ่งลักษณ์ ว่าให้ท่าโอบามา ลง The Nation ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก สำหรับค่ายบางนา ที่พยายามสร้างภาพ “มาตรฐานฝรั่ง” เพราะถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งที่มีมาตรฐานจริง เขาไม่ทำกันอย่างนี้ ต่อให้ไม่ชอบหรือเกลียดชังอย่างไรเขาก็ไม่ล้ำเส้น

ไม่รู้เหมือนกันว่า The Nation จะปล่อยให้ฝรั่งสลิ่มเหยียดเพศต่อไปไหม ในเมื่อเพิ่งเปลี่ยน บก.ใหม่ ได้ บก.ผู้หญิง

พฤติกรรมเช่นที่ยกตัวอย่างนี้มีมาต่อเนื่องทั้งปี จึงไม่อาจเรียกอย่างอื่นได้ นอกจาก “กระเด้า”

แต่ “กระเด้าลม” หมายถึงสื่อมีความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ในอันที่จะล้มรัฐบาล ตั้งแต่ศุกร์ 13 ภาคศาลรัฐธรรมนูญ มาจนม็อบสนามม้า “แช่แข็งประเทศไทย” หนังสือพิมพ์บางฉบับเชียร์ตั้งแต่หน้าข่าวการเมือง ข่าวสังคม ข่าวต่างประเทศ ไปถึงหน้าพระเครื่อง ซึ่งขนหมอดูมาทำนายว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกินวันที่เท่านั้นเท่านี้

ที่ไหนได้ กระเด้าลม ม็อบทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมงก็ละลาย หมอดูหน้าแหกพอๆ กับคำทำนายวันโลกแตก สื่อยัง “วีน” พยายามเล่นงานตำรวจทำรุนแรง แต่ไม่เป็นผล ทีวีเสรีซึ่งเผลอหลุดปาก “ผู้ชุมนุมของเรา” อุตส่าห์ขุดหนัง Battle in Seattle มาฉาย แต่ปลุกไม่ขึ้น

ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลกลับมีเสถียรภาพมั่นคง เพราะการปลุกกระแสสุดขั้วสุดโต่ง จ้องล้มรัฐบาล ทำให้กระแสสังคมวงกว้างปฏิเสธ ไม่เอาด้วย สังคมไทยเบื่อหน่ายการโค่นล้มกันด้วยวิถีทางนอกระบอบ เข็ดแล้ว อยากอยู่สงบๆ จะได้ทำมาหากิน ไม่เอาอีกแล้ว รัฐประหาร ตุลาการยุบพรรค ชอบไม่ชอบรัฐบาล ก็ให้บริหารประเทศไปตามวิถี

“พิราบกระเด้าลม” ยังเอวเคล็ดเปล่า ในอีกหลายสมรภูมิ อาทิเช่น การรณรงค์บอยคอตต์ “เรื่องเล่าเช้านี้” สรยุทธ สุทัศนะจินดา ของสมาคมนักข่าวและสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นช่อง 3 ปั่นป่วน เพราะนักลงทุนไม่รู้จะเอาไงแน่ จนกระทั่งช่อง 3 ต้องประกาศยืนยันว่าไม่ถอดรายการสรยุทธ ราคาหุ้นจึงพุ่งพรวดกลับไปสูงกว่าเดิม (ฮา)

นี่อาจรวมถึงการร่วมมือกับ TDRI และยะใส กตะศิลา พยายามล้มประมูล 3G แต่ผลที่ออกมากลายเป็นพวก “ลูกอีช่างฟ้อง” ซึ่งสังคมเหม็นเบื่อ เห็นเป็นพวกถ่วงความเจริญไปเสียฉิบ

อ้อ ยังไปจับผิดงบโฆษณา กสทช.ค่ายมติชนอีกต่างหาก ปรากฏว่าจับผิดจริงๆ เพราะไปจับตัวเลขที่เขาพิมพ์ผิด

 

วาทะแห่งปี : พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า

ขอบคุณภาพจาก VoiceTV

กนก รัตน์วงศ์สกุล ลั่นวาทะแห่งปี ที่ฮากลิ้งทั้งวงการ เพราะนักเขียนผู้ร่วมรณรงค์ให้แก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอนิติราษฎร์ มีปราบดา หยุ่น อยู่ด้วย กลายเป็นปากพาไป จุดใต้ตำนาย

“ปกติไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเลย แต่บางข่าววันนี้ทำให้อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมาก ๆ คือการมีพ่อกับแม่ที่มอบสิ่งมีค่าที่สุดกับเรามาตลอด นั่นคืออิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต สำหรับเรา ความหมายของการอบรมสั่งสอนลูกที่ดีคือแบบนี้ ไม่ใช่แบบที่อบรมให้ไหม้เกรียมไปด้วยการบังคับ และสั่งสอนให้ตกเป็นทาสของขนบงมงาย” ปราบดาตอบนิ่มๆ ขณะที่กนกได้แต่หุบปาก

กระนั้น กนกซึ่งควรหาอะไรมาครอบปากตัวเอง ยังไปบอกให้หาอะไรครอบปากยิ่งลักษณ์

กนกยังเป็นภาพสะท้อนการเข้าข้างกันเองของสื่อ เมื่อดีเจเสื้อแดง “ยกพวก” ไปขอคุย ก็ถูกสื่อตีปี๊บเป็นการ “คุกคาม” ทั้งที่คนเหล่านั้นแลกบัตรเข้าไปในสถานที่ราชการ ผ่านเจ้าหน้าที่ รปภ. และไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวกนกเลย สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ฯ ยังลงความเห็นให้ “ทำหนังสือ” ขอเข้าพบก่อน

ตรงข้ามกับ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ถูกสื่อปั่นให้เกลียดชัง กระทั่งถูกชก ปฏิกิริยาของสื่อแทนที่จะเสียใจ กลับพูดพอเป็นพิธีว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่สมน้ำหน้า

พฤติกรรมให้ท้ายความรุนแรงของสื่อยังรวมถึงการให้ท้ายครูผู้หญิงที่ไปยืนด่าดารณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างพารากอน และแอร์โฮสเตสที่โพสต์เฟซบุคจะราดกาแฟอุ๊งอิ๊ง

 

สถาบันการศึกษาแห่งปี: วารสาร มธ.

ขอบคุณภาพจาก Manager

คณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นสถาบันการศึกษาด้านสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในรอบปี จากการรวมตัวของศิษย์เก่า “วารสารต้านนิติราษฎร์” ยุทธนา มุกดาสนิท, เสรี วงศ์มณฑา ฯลฯ ชูคำขวัญ “เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักในหลวง ในหลวงสอนให้เรารักประชาชน”

ได้ข่าวว่าพวกสลิ่มที่มีลูกกำลังจะสอบแอดมิชชั่นปีนี้กำลังลังเล ระหว่างให้ลูกเรียนนิติศาสตร์ จบไปเป็น     ตุลาการภิวัตน์ หรือเรียนวารสาร ธรรมศาสตร์ดี (วารสารกลับมาฮิตอย่างไม่น่าเชื่อ)

 

ปรากฏการณ์แห่งปี: ทีวีเสรีปากเหว

 

ไม่ได้อยากตอกย้ำเรื่องที่เขียนไปแล้ว แต่หลังจากความขัดแย้งภายใน ที่สหภาพพนักงานออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรม กระทั่งเป็นข่าวใหญ่สะท้านวงการ “เฮียสิ่ว” เทพชัย หย่อง ถอนตัวจากการสรรหา สมชัย สุวรรณบรรณ ได้รับเลือกเป็น ผอ.ใหม่ หมอพลเดช ปิ่นประทีป พ้นไปจากประธานกรรมการนโยบาย โสภิต หวังวิวัฒนา ลาออก

แต่เกือบ 3 เดือนผ่านไป สาธารณชนไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใน TPBS เลย ไม่ว่าด้านการเสนอข่าว หรือรายการ ที่เคยทำ “สารคดีบิดเบือน 2475” ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึงมาแล้ว TPBS ยังเป็นกระบอกเสียงอย่างแอบๆ ของพวกแช่แข็งหรือพวกต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น มองการเมืองแบบคำนูณ สิทธิสมาน มองเศรษฐกิจแบบ TDRI

ในด้านการบริหารองค์กรก็เงียบกริบ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าการตรวจสอบเรื่องความโปร่งใส ของการให้เงินไปทำรายการต่างๆ หรือการบริหารบุคคลที่สหภาพระบุว่าไร้หลักเกณฑ์จนเปิดช่องให้เล่นพรรคเล่นพวก (สงสัยจะต้องเขียนใหม่ภาค 3)

 

สื่อใหม่ไฟลุก: สายล่อฟ้า

ขอบคุณภาพ: อรุณ วัชระสวัสดิ์

บลูสกายทีวีของพรรคประชาธิปัตย์ เป็น “สื่อใหม่” แห่งปีที่เปิดตัวสุดฮือฮา ด้วยรายการ “สายล่อฟ้า” ตอน ว.5 โฟร์ซีซันส์ ซึ่งเป็นรายการที่ “ฟ้าผ่าหัวใจ” ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล คนรัก ปชป.จนต้องออกมาประณาม “รายการขยะ”

อย่างไรก็ดี ในทัศนะผม รายการสายล่อฟ้าแสดงอัจฉริยะภาพของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สามารถพูดเรื่องสองแง่สองง่ามได้ยาวนานถึง 31.49 นาที สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของพรรคนี้

บางคนอาจจะว่าเอเชียอัพเดทก็ “แรง” ไม่น้อยกว่าบลูสกาย แต่ทีวีเสื้อแดงก็ยังไม่มีความสามารถพูดเรื่องแง่ง่ามขนาดนี้

บลูสกายยังเป็นสื่อรายแรกที่แสดงตัวเป็นของพรรคการเมืองชัดเจน เพราะดำเนินรายการโดยคนของพรรค สัมภาษณ์หัวหน้าพรรคและบุคคลสำคัญของพรรครายวัน ขณะที่เอเชียอัพเดทมีลักษณะเป็นของกลุ่มพลังมวลชน คล้าย ASTV เป็นของพันธมิตร จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่า บลูสกายเป็นสื่อหรือไม่และสื่ออื่นควรมีท่าทีต่อบลูสกายอย่างไร

 

ดาวเด่นเฟซบุค: เต่านา

ขอบคุณภาพจากมติชนสุดสัปดาห์

เฟซบุคกลายเป็นสื่อประชาชนที่ส่งผลสะเทือนอย่างสูง โดยเฉพาะปี 2555 สื่อกระแสหลักต้องหันมาเสนอข่าวคนดังโพสต์เฟซบุค ผู้ที่สามารถสร้างกระแสได้ตลอดทั้งปีคือ “โอ๊ค” สำนักข่าวพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งมีผู้ติดตามแสนกว่าคน

“โอ๊ค” เปิดตัวอย่างเฉียบคมด้วยการเหยียบจมูกพรรคประชาธิปัตย์ ไปกินข้าวหมูแดงหมูกรอบจานละ 30 บาทโต้ “แพงทั้งแผ่นดิน” จากนั้นก็เล่นเรื่องอภิสิทธิ์ “หนีทหาร” ทำให้มาร์คเปลืองตัวลงมาโต้กับเด็ก อย่างไรก็ตาม หลังจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์สำนึกตัว ก็หุบปาก ส่งองครักษ์หญิงปากตลาดอย่าง “ติ่ง มัลลิกา” มาโต้แทน ซึ่ง “โอ๊ค” ถูกยั่วเผลอลดระดับลงไปเล่นด้วย

สำนักข่าวพานทองแท้ ชินวัตร เผลอตอบโต้รายวันมากไป และเผลอแสดงตัวอยู่ในศูนย์กลางอำนาจมากไป (เช่นที่ออกมาตำหนิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต) ทั้งที่น่าจะแสดงบทบาทเพียงหยิกๆ หยอกๆ ปกป้องนโยบายรัฐบาลในทัศนะคนนอก หรือแสดงความเห็นบางเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองและพ่อ เท่านั้นก็พอ

ฉะนั้น รางวัลดาวเด่นเฟซบุค จึงต้องยกให้ “เต่านา โสณกุล” ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล เจ้าของวาทะ “รักที่สุดคือในหลวง ห่วงที่สุดคือคนที่รักในหลวงจนเสียสติ” ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นวาทะแห่งปีของวงการเฟซบุค

 

ข่าวฮาไม่ออกแห่งปี: ทัวร์แดงเดือด

ขอบคุณภาพ เซีย ไทยรัฐ

หรือจะเรียกว่าข่าวอึ้งกิมกี่แห่งปี ที่เห็นพวกเดียวกันอย่าง “ชู-พิชญ์” ร่วมคณะทัวร์ประธานรัฐสภา ซึ่งเจาะจงเชิญเฉพาะ “สื่อแดง” แถมชูวัสยังมาชี้แจงสำแดงเหตุผลที่การดู “แดงเดือด” เป็น “ดูงาน”

อันที่จริงผมโทษตัวเองด้วยที่ไม่ทักท้วง เพราะรู้มาก่อนเดินทาง แต่ตอนนั้นรู้เพียงว่าจะไปกับคณะรัฐสภา ไม่รู้ว่าเจาะจงเชิญ ก็ถามอยู่ว่าไม่กลัวโดนด่าหรือ “ไปกันหลายคนพี่” ผมก็คิดเอาเองว่าหลายคนคือหลายสำนัก เชิญหมดทั้งผู้จัดการ ไทยโพสต์ เนชั่น มติชน ฯลฯ ซึ่งผิดที่เป็นการถลุงงบ แต่ไม่เลือกปฏิบัติ วงการสื่อยอมรับกันตลอดมา

ผมก็เคยไปกับคณะนักข่าวอุตสาหกรรม สมัยอยู่ไทยโพสต์สิบกว่าปีก่อน อ้างว่าไปทำข่าว ความจริงรัฐมนตรีพาเที่ยว กอง บก.ไทยโพสต์เห็นว่าผมไม่เคยไปเมืองนอก ก็เอาโควตานักข่าวอุตสาหกรรมให้ผมไป กลับมาไม่มีใครว่าอะไร เพราะเฉลี่ยสัมบูรณ์

แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าน่าเกลียด เพราะเจาะจงกันเห็นๆ และเป็นบทเรียนเตือนสติสื่อประชาธิปไตยให้ระวังพฤติกรรม

ซึ่งหากจะขยายผลเราก็ต้องทบทวนตัวเองด้วยว่า ที่ผ่านมาเรามักไม่สามารถแยกการปกป้องประชาธิปไตยออกจากการปกป้องรัฐบาล โอเค ความจริงมันสัมพันธ์กัน บางครั้งแยกไม่ออก แต่หลายครั้งจำเป็นต้องแยก

พูดให้ขยายวงเป็นบทบาท “สื่อแดง” ในรอบปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าแม้แต่มติชน ข่าวสด ก็เอียงกะเท่เร่ในหลายเรื่อง แบบเรื่องนั้นรัฐบาลก็ทำถูก เรื่องนี้ก็ไม่ผิด ยิ่งลักษณ์ทำอะไรสวยไปหมด เพียงแต่โอเค มันอยู่ในบริบทที่ต้องปกป้องรัฐบาลจากพวกแช่แข็งและตุลาการภิวัตน์ กระนั้น เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายเราก็ต้องพูดทั้งสองด้าน

 

คนที่ควรชมนิยมกัน: สมเกียรติ อ่อนวิมล

ขอบคุณภาพจาก  https://www.facebook.com/Somkiat.Onwimon.Public/photos_albums

เนื่องจากคนที่ความเห็นตรงกันมีเยอะ ไม่รู้จะเลือกชื่นชมใคร แต่คนที่ความเห็นต่างแล้วมีบทบาทโดดเด่น เห็นชัด น่าชื่นชมที่สุดในรอบปี ก็คือ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ซึ่งแสดงตัวชัดเจนว่าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เกลียดทักษิณ แต่มีจิตใจประชาธิปไตย กล้าสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ เพราะขาดจิตวิญญาณประชาธิปไตย และมีเนื้อหาขัดหลักสิทธิเสรีภาพ

ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ ปชป. ดร.สมเกียรติวิพากษ์รายการ “สายล่อฟ้า” ยับเยิน ประณามความหยาบคาย หยาบโลน ไร้สติ สิ้นจริยธรรม ต่อมายังเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ขอโทษประชาชน จากเหตุการณ์อัปยศในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง

ท้ายที่สุดเมื่อมีม็อบแช่แข็ง ดร.สมเกียรติก็คัดค้านการชุมนุมล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

“เขาบอกให้มาชุมนุมก็มา เขาบอกให้เลิกชุมนุมก็เลิก มาทำไมก็ไม่รู้ เลิกทำไมก็ไม่ทราบ ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้เช้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อวานชุมนุมเรื่องอะไร?”

สังคมไทยต้องการคนเช่นนี้ คนที่กล้าแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แม้สิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับคนฝ่ายเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงผลทางการเมือง ผลแพ้ชนะ ไม่สนเสียงชม ไม่กลัวโดนด่า คนแบบนี้น่าชื่นชมและยกมือไหว้ได้สนิทใจ

 

คดีปริศนา: ไทยพรีเมียร์ลีก 200 ล้าน

ขอบคุณภาพจาก Clipmass

เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ลุกขึ้นทวงเงินค่าสิทธิประโยชน์ 200 ล้านจากสมาคมฟุตบอลและบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสิทธิที่สโมสรฟุตบอลพึงมีพึงได้ วรวีร์ มะกูดี ตอบไม่ได้ แต่ยอดทองกับบอบู๋ คอลัมนิสต์ค่ายสยามกีฬาออกมาตอบและโต้ “นักการเมืองชั่ว” แทน แล้วก็ถูกแฟนบอลรุมกระหน่ำอื้ออึงในเน็ต ท้ายที่สุดหลังจากสมาคมชี้แจงไม่เคลียร์ สยามสปอร์ตก็ถอนตัวจากการเป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ฟุตบอลลีกอาชีพ พร้อมคำตัดพ้อทำนองว่า ระวิ โหลทอง มีบุญคุณต่อวงการฟุตบอลยังโดนครหา ไม่ยุ่งดีกว่า

แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเงิน 200 ล้านหายไปไหน มีแต่บอกว่าใช้ไป 180 กว่าล้าน เหลือเงินสด 8 ล้าน ไม่รู้ใช้อะไรบ้าง ส่วนที่กังขากันมากที่สุดคืออ้างว่าขายลิขสิทธิ์ให้ทรูวิชั่น 80 ล้าน แต่สยามสปอร์ตต้องไปแบกรับค่าใช้จ่ายค่าถ่ายทอดสดเอง

ถือเป็นข่าวใหญ่ท้าทายวงการสื่อกีฬา ซึ่งปัจจุบันแทบจะมีบารมีผูกขาดอยู่ค่ายเดียว แต่ก็พิสูจน์ว่าแฟนบอลอาจจะเชื่อคอลัมนิสต์กีฬาเวลาวิพากษ์วิจารณ์บอล หรือบอกอัตราต่อรอง กระนั้นเรื่องผลประโยชน์ต้องฟังหูไว้หู

กรณีนี้ยังน่าสนใจตรงที่ไม่เลือกสีเลือกข้าง เพราะเนวินสีน้ำเงิน บังยีเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย บอบู๋เหน็บแม้ว มอนเตฯ ไม่ขาดปาก แต่แฟนบอลไม่สนใจ จะเสื้อสีไหนก็หน่ายบังยีเต็มที

 

คดีปริศนา: สื่อกับหมอสุพัฒน์

ขอบคุณภาพจากไทยรัฐ

ข่าวอาชญากรรมแห่งปีคือคดี พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ถูกตำรวจเพชรบุรีจับฐานต้องสงสัยว่าอุ้มฆ่า 2 สามีภรรยาที่มีไร่อยู่ติดกัน แต่ตำรวจเอารถแบคโฮลไปพรวนดินให้ไร่หมอสุพัฒน์ 14 ครั้งไม่พบศพ กลับพบโครงกระดูกนิรนาม 3 ศพแทน ต่อมา จึงพิสูจน์ได้ว่าศพหนึ่งเป็นอดีตคนงานพม่า และตำรวจก็ได้คนงานพม่าที่อ้างว่าทำงานให้หมอมา 18 ปี ไม่ได้ค่าจ้าง ถูกทารุณกรรมต่างๆ นานา เป็นพยานปากสำคัญปากเดียว

ข่าวนี้มี “จุดขาย” ตั้งแต่ต้น สื่อกระพือข่าวครึกโครมด้วยความมั่นใจว่าหมอสุพัฒน์คือฆาตกรร้ายในครอบหมอผู้แสนดี ปกติรักษาคนไข้อย่างใจดี แต่อารมณ์ร้าย ขี้โมโห มีเมียมา 3 คน มีปืนร่วม 40 กระบอก ฯลฯ กระนั้นพอหาศพ 2 สามีภรรยาไม่เจอ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็เหลือแต่ข้อหาฆ่าคนงานพม่า ซึ่งพูดได้ว่าหลักฐานอ่อนมาก

คดี “ดราม่า” ยิ่งมีข้อกังขาเมื่อปรากฏว่าผู้ชี้ช่องให้จับหมอสุพัฒน์คือพี่ชายแท้ๆ ที่กำลังขัดแย้งกันเรื่องสิทธิอนุบาลแม่วัย 96 หมอเขียนจดหมายจากในคุก ฝากลูกชายมาเผยแพร่ กล่าวหาพี่ชายว่าเป็นต้นเรื่องทั้งหมด และเรียกร้องให้ตำรวจกองปราบร่วมทำคดี แต่ผลที่ได้รับคือ ตำรวจตั้งข้อหาลูกชาย 2 คนมีส่วนร่วมฆ่าคนงานพม่าด้วย

อันที่จริงพฤติกรรมของหมอสุพัฒน์ไม่สามารถตัดจากผู้ต้องสงสัย แต่สิ่งที่น่าติติงคือวิธีการทำข่าวของสื่อ ซึ่งถนัดทำข่าว “ปรักปรำ” มากกว่า “สืบสวนสอบสวน” เดินตามตำรวจมากกว่าจะค้นหาความจริง เป็นจุดอ่อนของนักข่าวอาชญากรรมมาแต่ไหนแต่ไร ประเด็นที่ควรติดตาม เช่น ข้ออ้างในจดหมายหมอสุพัฒน์ที่ว่าพี่ชายถูกไล่ออก ที่ว่าเอาที่ดินของแม่ไปขาย 200 ล้าน ฯลฯ สื่อไม่ได้ตามไปพิสูจน์ความจริงเลยว่าหมอสุพัฒน์พูดจริงหรือโกหก

ตบท้ายด้วยข่าวกีฬา ข่าวอาชญากรรม ฟังเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่นี่คือภาพรวมของสถาบันสื่อ ที่กำลังถูกสั่นคลอนเครดิต และจะถูกท้าทายมากขึ้นในปีต่อๆ ไป

 

                                                                                                                ใบตองแห้ง

                                                                                                                30 ธ.ค.55

 

 

ฉายาสื่อฮ่าฮ่า ‘พิราบกระเด้าลม’