สื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพ
เมื่อรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงกับบีอาร์เอ็นว่าจะเริ่มพบปะพูดคุยเพื่อเดินหน้าไปสู่กระบวนการแสวงหาสันติภาพเมื่อ 23 ก.พ.2556 ที่ผ่านมา โลกของการรายงานข่าวสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การนั่งโต๊ะเจรจากับบีอาร์เอ็นหมายถึงการปรับเปลี่ยนสถานะของขบวนการที่ต่อต้านรัฐบาลและเท่ากับยอมรับว่า ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเรื่องของการเมือง ในขณะที่ภาคประชาสังคม กลุ่มองค์กรต่างๆ ต่างตื่นตัวแสวงหาข่าวสารและหาทางเข้าไปมีส่วนร่วม ในระหว่างนี้ เสียงบ่นเรื่องสื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพก็เริ่มดังขึ้นพร้อมๆ กับที่มีการทำข้อตกลงที่จะพบปะพูดคุยระหว่างคู่ความขัดแย้ง เสียงบ่นมีตั้งแต่เรื่องว่าการรายงานข่าวเรื่องการพบปะพูดคุยเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง บ้างก็ว่าสื่อไม่มีความรู้ ไม่อาจตอบสนองโจทย์จากสถานการณ์ใหม่นี้ได้ การเสวนาเรื่องสื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพเมื่อ 17 มิ.ย. 2556 โดย กลุ่มมีเดียอินไซท์เอ้าท์ จับมือกับกลุ่มเอฟทีมีเดียและเพื่อน และศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ เป็นความพยายามของคนในวงการสื่อในพื้นที่ ที่จะมองหาและทำความเข้าใจกับข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองพร้อมทั้งหาวิธีการปรับตัวร่วมกันเพื่อขานรับภารกิจใหม่ที่เป็นความท้าทายอย่างสำคัญของพวกเขา
วงเสวนาวงเล็กๆ วันนั้น มีผู้เข้าร่วมวงพูดคุยประกอบด้วย ติชิลา พุทธสาระพันธ์ จากทีวีสาธารณะไทยพีบีเอส ซึ่งเกาะติดการรายงานข่าวภาคใต้มาหลายปีนับตั้งแต่ที่เหตุการณ์รุนแรงเริ่มปะทุขึ้นมาระลอกใหม่เมื่อปี 2547 คนที่สองคือ มูฮำมัด อายุบ ปาทาน จากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้หรือ Deep South Watch ในอดีตเขาเป็นบรรณาธิการข่าวให้กับศูนย์ข่าวอิศรา สมัยที่ยังมีแต่โต๊ะข่าวภาคใต้ และมีบทบาทในเรื่องการผลักดันให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่องกระบวนการสันติภาพมาโดยตลอด ถัดมาคือ แวหามะ แวกือจิก หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตัน สื่อในพื้นที่ที่เริ่มมีบทบาทน่าจับตามองในฐานะที่นำเสนอเรื่องราวของการเคลื่อนไหวบนโต๊ะเจรจาอย่างเข้มข้นผ่านการจัดรายการ “โลกวันนี้” ที่เปิดสายโฟนอินสัปดาห์ละห้าวัน และสุดท้ายคือ ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เจ้าของผลงานการวิจัยดีเด่นในเรื่องของบทบาทสื่อกับสันติภาพ
จากซ้ายไปขวา: มูฮำมัด อายุบ ปาทาน, รศ.ดร.วลักษณ์กมล, แวหามะ แวกือจิก, นวลน้อย, ติชิลา
การเสวนาวงเล็กที่ดำเนินไปท่ามกลางผู้ฟังประมาณสามสิบคนได้รับการถ่ายทอดสดผ่านวิทยุร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตัน ที่ออกอากาศพร้อมกันในสามจังหวัดคือปัตตานี ยะลาและนราธิวาสเช่นเดียวกันกับทางอินเตอร์เนท
ติชิลา พุทธสาระพันธ์ นักข่าวที่คร่ำหวอดกับการรายงานข่าวภาคใต้จากไทยพีบีเอสตั้งข้อสังเกตถึงการรายงานข่าวเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพว่า ในระยะแรกที่ตัวแทนรัฐบาลและกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนท เริ่มพูดคุยกันนั้นจะเห็นว่ารายงานของสื่อสะท้อนอารมณ์ของสังคมในขณะนั้นที่มีการตั้งคำถามกันมากว่า รัฐไทยจะโดนหลอกหรือไม่และคู่เจรจาเป็นตัวจริงหรือเปล่า ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการสะท้อนความไม่เชื่อมั่นของหลายฝ่ายที่มีต่อกระบวนการพูดคุยในช่วงแรก ต่อมาเมื่อมีความเคลื่อนไหวหลากหลายขึ้นจากปฏิกิริยาของคนในพื้นที่ สื่อก็ได้เก็บความเคลื่อนไหวเหล่านั้นออกมานำเสนอเช่นกัน แต่สำหรับในเรื่องของการพูดคุยกันนั้น ติชิลาบอกว่านักข่าวไทยเข้าถึงได้แค่ข้างเดียวของคู่ความขัดแย้งทำให้ดูเหมือนว่าข่าวขาดบางมุมบางด้านไป ติชิลาชี้ว่าตัวเธอเองก็อยากจะสัมภาษณ์ฝ่ายบีอาร์เอ็นเช่นเดียวกัน ในการไปทำข่าวการพูดคุยระหว่างบีอาร์เอ็นกับรัฐบาลครั้งหลังสุดเมื่อ 13 มิ.ย.2556 ที่มาเลเซีย เธอได้พยายามจะทาบทามหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของบีอาร์เอ็น คือ ฮัสซัน ตอยิบ แต่ทว่า “เขาไม่ได้เลือกเรา” คือ ฝ่ายบีอาร์เอ็นไม่ยอมให้สัมภาษณ์ เป็นที่รู้กันว่า หลังการพูดคุยครั้งสุดท้าย ฮัสซัน ตอยิบ ได้พบปะกับนักข่าวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในนั้นไม่มีนักข่าวไทยอยู่ด้วย นอกเหนือจากการที่บีอาร์เอ็นเลือกที่จะสื่อสารผ่านยูทูป ติชิลาชี้ว่านี่เป็นผลของการที่คู่ความขัดแย้งไม่ไว้ใจสื่อ
อีกอย่างหนึ่งเธอชี้ว่า จุดอ่อนของนักข่าวฝ่ายไทยโดยทั่วไปคือไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการสันติภาพ ไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องนี้ที่จะทำให้เข้าใจและมองเห็นขั้นตอนต่างๆ เธอบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องฝากความหวังไว้กับนักข่าวแต่ละราย ว่าจะขวนขวายหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างไรแค่ไหน สำหรับสื่อมวลชนด้วยกันเองนั้นไม่มีวิธีปฏิบัติในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์กันเองอยู่แล้ว แม้จะมองเห็นผลเสียของการที่นักข่าวไม่กระตือรือร้นหาความเข้าใจก็ตาม นอกจากนี้เธอตั้งข้อสังเกตว่า หากจะมีองค์กรใดจัดอบรมหรือให้ความรู้ หรือแม้แต่จัดทำหนังสือคู่มือขึ้นมาซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี แต่จะมีอีกปัญหาหนึ่งคือ อาจจะยากที่สื่อจะแสวงหาความรู้นั้น เพราะส่วนใหญ่สื่อจะเกรงว่าการทำข่าวของตนจะกลายเป็นการ “อวย” หรือประชาสัมพันธ์ให้กับกระบวนการสันติภาพ ทำให้ความคิดที่ว่าสื่อควรจะช่วยทำหน้าที่อุดรอยรั่วที่จะทำให้กระบวนการล่มนั้นเป็นเรื่องที่เกิดยาก
“จุดอ่อนของสื่อของเราคือ เราไม่เข้าใจกระบวนการสันติภาพที่มันเกิดขึ้นในที่อื่นๆ และถ้าเราไม่ขวนขวายเราก็จะยิ่งไม่เข้าใจเลย” ติชิลามองเห็นปัญหาในการทำงานของเพื่อนสื่อด้วยกันที่นอกจากความเข้าใจต่อกระบวนการสันติภาพจะมีน้อยเช่นเดียวกันกับอีกหลายๆคน ยังมีปัญหาว่านักข่าวอีกไม่น้อยขาดความเข้าใจในบริบทปัญหาภาคใต้
ด้านมูฮำมัดอายุบ ปาทาน หรืออายุบ ชี้ว่าการเข้าร่วมพูดคุยครั้งนี้ เท่ากับประเทศไทยให้การยอมรับว่ามีกลุ่มบีอาร์เอ็นอยู่จริง เป็นสิ่งที่ทำให้สื่อยิ่งต้องให้ความสนใจอย่างมากรวมทั้งจะต้องทำความเข้าใจให้ได้ รวมทั้งเรื่องที่มาเลเซียเข้ามามีบทบาท อายุบให้ความเห็นว่าการนำเสนอข่าวที่ผู้สื่อข่าวหรือสื่อเองไม่เข้าใจบริบทจะทำให้ตัวเองกลายเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสันติภาพ และได้หยิบยกรายละเอียดบางส่วนจากข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่มีต่อสื่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่หรือ road map ที่นำเสนอต่อทุกฝ่ายทั้งรัฐ บีอาร์เอ็น และภาคประชาสังคมเอง ในโรดแมปนั้นมีข้อเสนอให้สื่อต้องแสวงหาองค์ความรู้ในเรื่องกระบวนการสันติภาพ เช่นในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อันเป็นเรื่องที่เป็นความจำเป็น เพื่อพัฒนาทักษะในการให้ความรู้ต่อสาธารณะและหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ ประการถัดมาคือให้สื่อรายงานข่าวให้สอดรับกับกระบวนการสันติภาพ ซึ่งอายุบชี้ว่าเรื่องนี้อาจจะดึงนักวิชาการหรือผู้รู้ช่วยสนับสนุนเช่นทำคู่มือหรืออย่างอื่นๆที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง ข้อเสนอประการที่สามคือให้สื่อเป็นพื้นที่ของการพูดคุยของทุกฝ่ายและอย่างหลากหลาย กล่าวคือนำเสนอข้อเสนอจากคนทุกกลุ่มไม่ใช่แค่ระหว่างรัฐกับบีอาร์เอ็น ดึงเนื้อหาของการพูดคุยออกสู่สาธารณะและกระตุ้นให้เกิดการสนทนาในสังคมของคนทุกฝ่ายรวมทั้งคนที่เห็นต่าง และต้อง “ทะลวงข้อจำกัดบางเรื่อง” ออกไปเขายังหยิบยกเรื่องของการให้ความสำคัญกับความเป็น “มนุษย์” ของฝ่ายต่างๆในความขัดแย้งไม่ใช่เน้นเฉพาะด้านการทหารหรือการใช้กำลังเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น “ถ้าถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ออกมาจะได้ไม่เกิดการเหมารวม เพื่อจะได้ขยับเรื่องความคิดสุดโต่ง”
อายุบย้ำในเรื่องของการทบทวนเจตนาของการทำรายงานของสื่อว่าจะต้องเน้นที่ “เพื่อให้อยู่ได้” การรายงานข่าวสันติภาพต้องใช้การสื่อสารสร้างพื้นที่ทางการเมือง หากสร้างเวทีให้มีการแสดงความเห็นที่หลากหลายเขาเชื่อว่าในที่สุดข้อเสนอจะปรากฏออกมาเอง ข้อเสนอนั้นจะต้องเป็นผลิตผลของการสนทนาที่หลากหลายจึงจะได้รับการยอมรับ
“จากประสบการณ์จากทั่วโลก ขบวนการขัดแย้งแบบนี้มันไม่จบด้วยการทหาร มันต้องจบด้วยการเมือง เพราะโจทก์เป็นเรื่องการเมือง เราจะรายงานข่าวอย่างไรให้คนอีกมากมายเข้าใจว่ามันไม่จบด้วยเรื่องการทหาร วันแรกๆ สังคมไทยอาจจะมึนเพราะเราเคยบอกว่าปัญหาภาคใต้มันมีหลายเรื่อง ทุกคนเขียนถึงแต่ปัญหารอง ปัญหาเสริม ไม่เขียนถึงปัญหาใจกลาง วาทกรรมที่สร้างขึ้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เราอาจจะต้องรายงานปัญหาใจกลางไม่ใช่รายงานแต่ปัญหาเสริม”
“สิ่งสำคัญก็คือสื่อจะต้องรู้ว่า ณ ขณะนั้นกระบวนการเดินมาถึงขั้นตอนไหน และต้องเข้าใจแผนที่หรือโรดแมปของกระบวนการเพื่อที่จะได้มองหาประเด็นในการรายงาน”
ผู้ที่เติมเต็มภาพของการทำงานของสื่อที่อยู่ในพื้นที่ในวันนั้นคือ แวหามะ แวกือจิก หัวหน้าสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตันซึ่งเปิดเผยถึงรายการวิทยุที่จัดในช่วงค่ำของแต่ละวัน อันเป็นรายการโฟนอินจากผู้ฟังที่ปรากฎว่าดึงดูดคนเข้าร่วมได้อย่างคึกคัก โดยเฉพาะผู้ฟังที่เป็นคอการเมืองและพูดภาษามลายูต่างกระโดดเข้าร่วมวงการสนทนาที่ “ร้อนแรง” ชนิดไม่หวาดหวั่นต่อการจับตาของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในพื้นที่ “เราอาจหาญยังไงถึงได้ทำ” แวหามะพูดถึงการจัดรายการของตัวเองว่า อันที่จริงแล้วเขาก็กลัวไม่แพ้คนอื่นๆเพราะรู้ว่าสื่อในพื้นที่ถูกจับตามองทุกฝีก้าวและจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่จะไม่พอใจหากนำเสนออย่างที่พวกเขามองว่าล้ำเส้น แต่ฝ่ายขบวนการก็จะไม่ชอบใจเช่นเดียวกัน “เพราะในพื้นที่นี้มีกฎหมายพิเศษสองฉบับ ฉบับหนึ่งคือ พรก.ฉุกเฉินของรัฐบาลไทย อีกฉบับคือ ของบีอาร์เอ็น”
แวหามะชี้ว่าสิ่งที่เขาพยายามนำเสนอคือการติดตามความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปที่ถนัดในการใช้ภาษาแม่หรือมลายูถิ่นในการร่วมแสดงความคิดเห็น “เราไม่มีความรู้ในเรื่องหลักวิชาการ แต่เราจะรอองค์ความรู้อย่างเดียวคงไม่ทัน บางครั้งก็ต้องแหวกแนวบ้าง”
สองครั้งแรกที่รายการของเขาเปิดประเด็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพูดคุยของรัฐบาลและบีอาร์เอ็น ชาวบ้านที่โทรศัพท์เข้าไปในรายการค่อนข้างใช้คำพูดในการแสดงออกที่ถือว่า “แรง” ในความเห็นของเขาที่เป็นผู้จัดมองว่า ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมองว่าการพูดคุยกันของสองฝ่ายมีเพียงเนื้อหาเรื่องเดียวคือในเรื่องของ “เอกราช” ขณะที่รายการก็พยายามที่จะสร้างความเข้าใจ ด้วยการนำผู้ที่มีความรู้ในเรื่องกระบวนการสันติภาพเข้าไปร่วมวงพูดคุยหรือตอบคำถามต่างๆ
ตามคำบอกเล่าของแวหามะ ในระยะแรกชาวบ้านเกือบทั้งหมดที่โทรศัพท์เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นล้วนไม่เชื่อว่าการพูดคุยกันเป็นเรื่อง “จริง” แต่การจัดรายการนัดต่อๆ มาเริ่มเห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของคนฟังเปลี่ยนไป พวกเขามีความเชื่อมั่นมากขึ้น ในขณะที่พวกเขาเข้าใจในเรื่องของการแสดงออกของความเห็นเพื่อจะให้คนอื่นๆ รับฟังได้และลดความกระทบกระเทือนในแง่ของสื่อลง เช่น ลักษณะการเลือกสรรคำพูดที่แสดงว่า “เป็น” มากขึ้น รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรไม่ให้แรงเกินไปและส่งกระทบกับผู้จัดและสถานี แทนที่จะใช้คำพูดอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเดิม พวกเขาเริ่มมี “รหัส” มีการใช้คำว่า “ขอทวงคืนโฉนดที่ดิน” เป็นต้น
แวหามะเชื่อว่าจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีสื่อที่เปิดเวทีให้กับคนกลุ่มที่เป็นชาวบ้านจริงๆ และเป็นกลุ่มที่เป็นคนที่ไม่ถนัดในการพูดคุยด้วยภาษาไทย ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มคนที่ไม่กล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาหากต้องร่วมเวทีกับฝ่ายอื่นๆ เขาสรุปว่าชาวบ้านจำนวนมากยังไม่เข้าใจในเรื่องของการพูดคุย ในขณะที่ความเห็นของพวกเขาที่เป็นความเห็นที่ตรงไปตรงมาก็ยังไม่ได้รับการนำเสนอในสื่ออื่นๆเพื่อให้สังคมในวงกว้างได้รับรู้
นักวิชาการรายเดียวในวงเสวนาวันนั้นคือ อาจารย์วลักษณ์กมล จ่างกมล คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี กล่าวถึงเงื่อนไขการทำงานของสื่อกับการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพว่า สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่ขัดกัน หากจะให้เป็นไปได้ด้วยดีต้องมีการปรับตัว
คณบดีคณะวิทยาการสื่อสารระบุว่า ธรรมชาติของสื่อที่ขัดแย้งกับเรื่องของการรายงานข่าวสันติภาพนั้นเป็นเพราะสื่อมักจะหยิบจับสิ่งที่เป็นด้านลบขึ้นมารายงาน ในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องการการนำเสนอข่าวที่ไม่พยายามสร้างความแตกแยกหรือพยายามผลักดันให้เกิดความชัดเจนและความเข้าใจมากกว่า ในขณะที่เรื่องของกระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนแต่สื่อต้องการเนื้อหาที่กระชับ ในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องใช้เวลายาวนาน การทำงานของสื่อต้องการความรวดเร็ว การจะรายงานข่าวสันติภาพให้ได้ดีจึงจำเป็นต้องปรับค่านิยมในเรื่องของการวัดคุณค่าข่าว แต่ทว่าปัจจุบันสื่อยังเน้นรายงานข่าวที่ใช้ค่านิยมวัดคุณค่าข่าวแบบดั้งเดิม และในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องการการประนีประนอม รายงานข่าวของสื่อกลับเน้นในเรื่องการขายความขัดแย้ง ด้วยลักษณะการทำงานเช่นนี้จึงไม่ส่งเสริมกระบวนการสันติภาพ และแม้ว่าจะมีสื่อที่ปรับตัวอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนักข่าวหรือปัจเจกบุคคลยังไม่ขยายรวมไปถึงองค์กร
อาจารย์วลักษณ์กมลชี้ว่าการทำงานของสื่อที่ไปเน้นการรายงานที่เหตุการณ์ เช่นการพบปะพูดคุย ทำให้เกิดอาการเร่งรีบ และที่สำคัญทำให้เกิดการเน้นไปที่เหตุการณ์ย่อยๆที่เกิดขึ้นในกระบวนการที่ในความเป็นจริงซับซ้อนและใช้เวลา ทำให้เกิดการเน้นที่ผิดจุดและประเมินความสำเร็จหรือล้มเหลวของกระบวนการจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสั้นๆ และเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ในตัวกระบวนการที่ยาวนาน นอกจากนั้นการที่สื่อเน้นคุณค่าข่าวแบบดั้งเดิมที่เน้นการรายงานจุดที่เป็นปัญหา ความขัดแย้ง หรือแม้แต่การเน้นในเรื่องความเร้าอารมณ์ การมองคู่เจรจาในนัยแบบเก่าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งการพยายามเปิดเรื่องราวเบื้องหลังการต่อรอง ที่ทำให้เห็นว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังเพลี่ยงพล้ำทำให้ผู้สนับสนุนไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าฝ่ายตนอาจแพ้ได้ ทั้งหมดนี้มีผลกระทบต่อกระบวนการสันติภาพจนอาจทำให้สื่อไม่สามารถแสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนได้ คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มอ. ปัตตานีเสนอว่า สื่อควรจะมีระบบจัดการกับข่าวกระบวนการสันติภาพโดยมองอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ แต่ละขั้นตอนของกระบวนการสื่อควรจะนำเสนอรายงานอย่างไร เช่น ก่อนหน้าที่จะเกิดกระบวนการสันติภาพก็ควรจะมีวิธีการจัดการการนำเสนอข่าวความรุนแรงว่าควรเสนออย่างไรเป็นต้น
ในส่วนของกลุ่มผู้ฟัง มีผู้ที่ติดตามการเสวนาจากการถ่ายทอดสดและในเวทีพูดคุยตั้งข้อสังเกตว่า การดูดซับบทเรียนของการผลักดันกระบวนการสันติภาพในที่ต่างๆ นับเป็นเรื่องจำเป็น แต่ยึดลักษณะเฉพาะของเงื่อนไขในพื้นที่และปรับใช้บทเรียนเหล่าอย่างเหมาะสม มีผู้เสนอด้วยว่าการอธิบายเรื่องของกระบวนการสันติภาพนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก ใช้คำศัพท์ที่เข้าใจง่าย บางรายเสนอให้สื่อมีความกล้าหาญมากขึ้นในการนำเสนอประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงและพูดคุยในเรื่องที่สำคัญ
เกี่ยวกับผู้เขียน: นวลน้อย ธรรมเสถียร จบปริญญาตรีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน สาขาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทที่ School of Oriental and African Studies (SOAS) ประเทศอังกฤษ เป็นอดีตผู้สื่อข่าวบีบีซี ภาคภาษาไทย ประจำกรุงลอนดอน ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตสารคดีในนามกลุ่มเอฟทีมีเดียและเพื่อน ทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ นวลน้อยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มมีเดีย อินไซด์ เอ้าท์
